วันจันทร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ชีวิตเกือบจะหาไม่...ซะแล้ว

เมื่อวานเย็นหลังเลิกงาน แฟนเราไปรับที่สำนักงาน
ไปกันได้สักพักถึงบริเวณหน้ามหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งแถวถนนร่มเกล้า
รปภ.ของมหาวิทยาลัยโบกให้รถหยุดเพื่อให้รถในมหาวิทยาลัยออก
มีรถคันหนึ่งจอดอยู่ข้างหน้ารถเราอยู่แล้ว...เราก็จอดต่อเป็นคันที่สอง
เรามองกระจกหลังเห็นรถบรรทุกหนึ่งไม่มีทีท่าว่าจะเบาลงเลย
เราก็เลยกดไฟฉุกเฉิน...
หัวรถมันเบี่ยงหลบรถเราไปนิ๊ดเดียว...นิดเดียวของมัน...ครึ่งคันของเรา

พระเจ้าจ๊อด...มันหวุดหวิดจริงๆ!!

วันพุธที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2553

กิเลสนี้มันหนักหนานัก

จากที่เคยตื่นตี 3.45 มาสวดมนต์นั่งสมาธิได้
สัปดาห์นี้ทั้งสัปดาห์ทั้งสัปดาห์ ตี 4 ก็แล้ว ตี 5 ก็แล้ว มันโงหัวไม่ขึ้นเลย

วันพุธที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ประวัติเจ้าพ่อเสือ ตอนที่ ๒

สามวันผ่านไป ขบวนล่าเสือของนายปลัดโตออกตะลุยป่าหลายทิศหลายทาง ถึงจะมีคนมากก็ตาม เมื่อปลัดโตประกาศว่าจะล่าเสือ ก็ขันอาสาเข้าร่วมขบวนตะลุยพยัคฆ์ร้ายกันมาก เริ่มวันที่สี่ก็ยังไม่ได้วี่แววหรือร่องรอยเลย เป็นอันว่าปลัดโตต้องประชุมพรรคพวกกันอีกครั้ง ตกลงที่ประชุมให้ยกขบวนกลับเสียก่อนเมื่อพรรคพวกพากันกลับแล้ว ปลัดโตเท่านั้นที่ยังไม่ยอมกลับบ้าน ได้แวะไปนมัสการหลวงพ่อบุญฤทธิ์ในพระอุโบสถ และนมัสการหลวงพ่อพระร่วงในพระวิหาร วัดมหรรณพาราม อ้อนวอนหลวงพ่อทั้งสองพระองค์ ขอให้ทรงช่วยดลบันดาลจับเสือร้ายให้ได้ การจับก็ขอรับรองว่าจะไม่ฆ่าเสือเป็นอันขาด ถึงแม้เสือจะทำร้ายก็ตาม ขอให้หลวงพ่อพระร่วงทรงช่วยกล่อมใจเสือร้าย ให้กลายเป็นเสือเลี้ยงให้ได้ ถ้าจับเสือไม่ได้คราวนี้ ลูกต้องลาออกจากตำแหน่งราชการทันทีเมื่อนายปลัดโต ได้กล่าวคำพรรณนาให้หลวงพ่อฟังจนหมดสิ้นแล้ว ก็กราบนมัสการลาหลวงพ่อออกจากพระวิหาร แทนที่จะกลับไปอำเภอ เพื่อรายงานเสียก่อน แต่กลับเดินอ้อมไปทางหลังวัด ถึงต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งก็นั่งพักนั่งคิดอยู่สักพักหนึ่งก็หลับไป ครั้นลืมตาตื่นขึ้นต้องสะดุ้งตกใจแทบขาดใจ เห็นเสือนอนหมอบอยู่ตรงหน้า คิดจะหนีก็หนีไม่พ้นคิดจะสู้ก็สู้ไม่ไหว เพราะเอาปืนพิงไว้กับต้นไม้ มีดก็วางไว้ห่างตัวจะลุกขึ้นเอาปืนยิงก็กลัวไม่ทันเสือ ได้แต่นั่งนึกภาวนาถึงหลวงพ่อพระร่วงขอให้ช่วยชีวิตและขอให้ทรงช่วยเปลี่ยนใจเสือให้กลับเป็นใจคน ให้รู้สึกผิดชอบชั่วดีให้จับเสือได้ง่าย ๆ เหมือนจับลูกแมว

เสร็จอธิษฐานแล้วเห็นอาการของเสือไม่มีร่องรอยแห่งความดุร้ายเหลืออยู่เลย มันทำตาริบหรี่คล้ายกลับยอมให้จับโดยดี ปลัดแกล้งขู่สำทับว่า เจ้าเสือร้ายเจ้าฆ่านายสอนใช่หรือไม่ ? เสือพยักหน้ารับว่าจริง ปลัดโตก็ว่า เจ้าเป็นตัวจริงแน่หรือ ? เสือก็ก้มหัวให้ดูแผลที่ถูกนายสอนแทงที่หน้าผาก แผลยังไม่หายมีรอยเลือดเกรอะกรังติดอยู่ที่หน้าที่ต้นคอ ปลัดก็แน่ใจว่าเป็นตัวจริง เพราะรู้ว่านายสอนแทงเสือถูกที่หน้าผากกับต้นคอ ปลัดก็เอาเชือกผูกคอเสือแล้วจูงเสือไปที่ว่าการอำเภอเมื่อถึงอำเภอก็ผูกเสือไว้กับเสา แล้วเข้าไปบอกนายอำเภอ นายอำเภอแสงตกใจร้องบอกให้ช่วยกันปิดประตูอย่าให้มันเข้ามาได้ ปลัดบอกว่ามันไม่ดุ ไม่กัดใคร ๆ ทั้งนั้น เมื่อนายอำเภอแน่ใจแล้วปลัดก็จูงเข้าไปที่ว่าการ แล้วสั่งให้ไปตามยายผ่องทันทีนายอำเภอก็เริ่มพิจารณาคดี พูดเสียงดังถามเสือว่าเจ้าฆ่านายสอนตาย แล้วเอาแขนไปกินข้างหนึ่งจริงหรือไม่ เสือก็พยักหน้ารับว่าจริง เจ้ารู้ไหมว่าอาญาแผ่นดินตราเป็นกฎมายไว้สำหรับลงโทษผู้กระทำผิด เสือก็ก้มหัวรับรู้ นายอำเภอบอกว่า เจ้าจงฟังคำตัดสินเดี๋ยวนี้ เมื่อตัดสินต้องยอมรับโทษทันที เสือก้มหัวยอมรับนายอำเภอก็แจ้งโทษให้ฟัง แล้วตัดสินประหารชีวิตทันที เสือก็ก้มหัวยอมรับโทษตามคำตัดสินลงนอนหมอบราบกับพื้นหลับตาเฉย แต่มีน้ำตาไหลซึมนายอำเภอ ปลัดโต และใคร ๆ ที่ยืนมุงดูอยู่แน่นอำเภอ เมื่อเห็นอาการของเสือเช่นนั้น ต่างก็สงสารบางคนน้ำตาไหล ไม่มีใครสักคนที่จะโกรธแค้นเสือ มีแต่สงสารไม่อยากให้นายอำเภอฆ่า เพราะมันแสดงอาการแสนที่จะสงสารฝ่ายยายผ่องเมื่อฟังคำพิพากษาตัดสินประหารชีวิตเสือ ได้เห็นอาการของมันทุกอย่าง และเห็นมันหมอบลงรับคำตัดสิน พร้อมกับเห็นน้ำตาไหลซึม อาการที่เคยโกรธเสือมาก่อน ก็พลันหายไปจนหมดสิ้นยายผ่องร้องไห้แล้วพูดกับนายอำเภอว่า ขอชีวิตเสือไว้เถิดอย่าได้ฆ่ามันเลย ฉันไม่ขอเอาเรื่องโกรธแค้นกับมันอีกต่อไปแล้ว และขอให้นายอำเภอยกเสือตัวนี้ให้เป็นลูกของฉัน แทนลูกที่ตายไปแล้ว

นายอำเภอแสงกับปลัดโต ซึ่งมีความสงสารมันเหมือนกับคนอื่น ๆ เมื่อได้ฟังคำขอร้องของยายผ่องเช่นนั้นก็รีบฉวยโอกาสตัดสินใหม่ทันที บอกกับเสือว่า จงฟังคำตัดสินใหม่ เสือก็ผงกหัวยอมรับฟัง นายอำเภอตัดสินว่า เมื่อเจ้ายอมรับผิดโดนดีแล้ว ก็ยกโทษประหารให้ แต่เจ้าต้องเป็นลูกของยายผ่องและต้องรับเลี้ยงดูแกแทนลูกชายที่ตายไปเสือก็ลุกขึ้นยืน พร้อมกับพยักหน้าอยู่หลายครั้งเมื่อเสร็จสิ้นการชำระคดีแปลกประหลาดแล้ว นายอำเภอก็สั่งปิดศาลทันทีตั้งแต่ยายผ่องได้เสือมาเป็นลูกแทนนายสอนแล้ว ก็มีความสุขยิ่งกว่าเดิมหลาบเท่า เพราะเสือมิได้อยู่เฉย ๆ เข้าป่าหาอาหาร กัดเอาหมูบ้าง เอาเก้งบ้าง กวางบ้างและจับสัตว์อื่น ๆ บ้าง เอามาให้ที่รักของมันอยู่เป็นนิจ แกก็แล่เนื้อกินบ้าง เอาเนื้อสดเนื้อแห้งขายชาวบ้านร้านค้าบ้างมิได้ขาดยายผ่องตั้งชื่อเสือว่าสอนแทนลูกที่ตายในละแวกบ้านย่านนั้นไม่มีขโมยเลย แต่ก่อนหน้าเสือมาอยู่ ข้าวของเป็ดไก่ ไร่ผักมักจะหายกันบ่อย ๆ ถ้าวันไหนคืนไหนเสือไม่เข้าป่า มันจะส่งเสียงร้องคำรามดังไปไกล ทำให้เกิดความหวาดกลัวแก่เจ้าพวกหัวขโมยไม่กล้าย่างกรายเข้าไป ชาวบ้านร้านตลาดพลอยอยู่เย็นเป็นสุขไปด้วย

วันหนึ่งเสือเข้าป่าแล้วหายไปถึงสามวันยังไม่กลับ ทำให้ยายร้องไห้คิดถึงไม่เป็นอันกินอันนอน ความทราบไปถึงนายอำเภอกับปลัด ทั้งสองคนรีบมาเยี่ยมทันที นายอำเภอขอให้ปลัดช่วยตามเสืออักครั้งเพื่อช่วยชีวิตยาย ปลัดโตก็ออกเดินทางไปเพียงคนเดียว เพราะถือว่าไม่มีอันตรายใด ๆ จากสัตว์ แล้วไปพบคนกลุ่มหนึ่งกำลังล่าสัตว์อยู่ในป่า ปลัดโตเห็นคนกลุ่มนั้นก็จำได้ว่าเป็นพวกเดียวกันทั้งนั้น ต่างก็สนทนากันอยู่สักพักหนึ่งชายกลุ่มนั้นถามปลัดโตว่ามาทำไมในป่าคนเดียว ปลัดตอบว่ามาตามเสือ ชายกลุ่มนั้นบอกว่าพวกเขากำลังไล่ล้อมยิงเสืออยู่เหมือนกัน ปลัดถามว่าเสือมีลักษณะอย่างไร เมื่อได้รับคำตอบแล้ว ปลัดบอกว่าเป็นเสือตัวเดียวกันกับที่ตนกำลังตามหาและขอร้องมิให้ยิงชายกลุ่มนั้นบอกว่าตามล่ามันมาสามวันแล้ว เพราะเสือตัวนี้ดุร้ายมากเป็นอันว่าชายกลุ่มนั้นรับคำว่าไม่ล่าเสือตัวนี้อีก อีกสักครู่หนึ่งเขาเหล่านั้นเห็นเสือวิ่งลัดพุ่มไม้อยู่ข้างหน้า ปลัดก็ออกตามตะโกนเรียกชื่อมันอย่างดัง บอกกับเสือว่าให้รีบกลับบ้านโดยเร็ว เพราะยายผ่องเสียใจมากกำลังรออยู่ที่บ้านไม่ต้องกลัวใครยิงอีกแล้วสักครู่ใหญ่เสือก็มาถึงตรงไปหายายเห็นแกเป็นลม มันก็หมอบเอาคางเชยที่เท้า ยายผ่องได้สติฟื้นขึ้นมองเห็นเสือก็ดีใจเอามือลูบหัวแล้วถามมัน ปลัดก็เล่าเรื่องที่โดนนักล่าสัตว์คอยดักยิงมันต้องหนีเตลิดเข้าป่าลึกเพื่อเอาตัวรอด มิเช่นนั้นก็ถูกยิงตายแน่

เสืออยู่กับยายผ่องประมาณเจ็ดปี ยายก็ถึงแก่กรรม เมื่อมันเห็นยายแม่ของมันเป็นลมตายเสียแล้ว มันก็ส่งเสียงร้องไม่หยุด เมื่อครบสามวันแล้วจึงช่วยกันเผา จัดทำเชิงตะกอนเตี้ย ๆ ขนเอาฟืนมามาก เผาศพเป็นกองไฟใหญ่ เผากันจริง ๆ ใครมีฟืนเท่าไรก็เผาจนหมดในระหว่างไฟกำลังโหมลุกเต็มที่อยู่นั้น เสือซึ่งมีอาการหงอยเหงาเศร้าซึมมาหลายวันแล้ว น้ำตาไหลเป็นทางมันจะนึกอย่างไรไม่ทราบ ก็ออกวิ่งวนไปรอบ ๆ กองไฟ ไม่รู้ว่ากี่รอบ ส่งเสียงร้องอยู่เรื่อย วิ่งไปร้องไป และขณะร้องคร่ำครวญอยู่นั้น ได้กระโจนเข้ากองไฟที่กำลังลุกโชติช่วง ถูกไฟเผาดิ้นทุรนทุรายอยู่ครู่หนึ่งก็ตายตามที่แม่รักไปยอมพลีชีพบูชาแม่ด้วยชีวิต ซึ่งอาจมีมนุษย์จำนวนน้อยนิดเท่านั้น จะกล้าเสียสละอย่างนี้ได้ ทำให้คนตกใจส่งเสียงร้องด้วยความหวาดเสียวและสงสาร๗ วันผ่านไป การเผาศพระหว่างแม่ผู้เป็นมนุษย์กับลูกผู้เป็นสัตว์ ชาวบ้านรวมทั้งนายอำเภอแสงกับปลัดโตปรึกษากันว่าจะสร้างศาลให้เสือ ผู้มีความจงรักภักดีต่อแม่เฒ่าผ่อง ถือว่าเป็นสัตว์พิเศษกว่าสัตว์ทั้งหลาย เพราะร่างกายกับชีวิตเท่านั้นที่เป็นเสือ แต่ดวงจิตสูงส่งเป็นอัจฉริยะจิต สถิตด้วยแสงธรรมการสร้างศาลประดิษฐานรูปเสือ ผู้คนสละทรัพย์สละแรงงาน ร่วมแรงร่วมใจกันเป็นจำนวนมาก สร้างใกล้ ๆ บริเวณหน้าวัดมหรรณพาราม เอากระดูกเสือบรรจุในแท่นปั้นรูปประดิษฐานบนแท่นอย่างสง่าน่าเกรงขาม อัญเชิญดวงวิญญาณเสือ ขอให้เป็นเทพเจ้าสิงสถิต ณ ศาลวิมานทองแห่งนี้ตลอดกัลป์เป็นนิรันดร ขอให้ปกปักรักษาประชาราษฎร์ให้อยู่ร่มเย็นเป็นสุข ทำมาหากินซื้อง่ายขายคล่อง เจริญสุขทุกทิวาราตรีเมื่อฉลองเสร็จแล้วติดแผ่นป้ายไว้ที่หน้าศาลจารึกชื่อว่า ศาลเจ้าพ่อเสือ

ขอบคุณข้อมูล : พุทธสถานจีเต็กลิ้ม

ประวัติเจ้าพ่อเสือ ตอนที่ 1

ในอดีตกาลประมาณ ๑๕๐ ปี ต้นสมัยแผ่นดินพระนั่งเกล้า ฯ รัชกาลที่ ๓ กล่าวถึงการสร้างวัดมหรรณพารามเสียก่อน เพราะเกี่ยวโยงกับประวัติเจ้าพ่อเสือ (เฮียงบู้)

วัดมหรรณพ์สร้างเมื่อสมัยรัชกาลที่ ๓ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า ฯ ผู้สร้างคือ กรมหมื่นอุดมรัตนราษี ( พระองค์เจ้าอรรณพพระราชโอรสในสมเด็จพระนั่งเกล้า ) สถานที่สร้างวัดยังเป็นป่า บริเวณหลังวัดมหรรณพ์ ยังมีสัตว์อาศัยอยู่เช่น เสือปลา เสือบอง อีเห็น กระต่าย งูเหลือม งูหลามเป็นต้น มีหมู่บ้านเล็ก ๆ อยู่แห่งหนึ่ง โดยมากมีฐานะยากจน ยายผ่องกับนายสอนลูกชาย อยู่ด้วยกันเพียงสองคนแม่ลูกเท่านั้น นายสอนเป็นลูกที่มีความกตัญญูต่อแม่บังเกิดเกล้ายิ่งนัก สองชีวิตต้องทนอยู่กับความยากลำบาก ต้องผจญชีวิตกับอาชีพที่ไม่เป็นแก่นสารแบบหาเช้ากินค่ำนายสอนลูกชายยายผ่องเป็นไข้มา ๖ - ๗ วัน เมื่ออาการค่อนข้างทุเลาบ้างแล้วก็เตรียมตัว จะเข้าป่า เพื่อหาหน่อไม้ เก็บผักหักฟืนตามเคย ถึงตัวจะลำบากยากเข็ญอย่างไรก็ไม่ท้อถอย ตนก็เอาหาบขึ้นบ่าพร้อมทั้งมีดกับเสียม ออกจากเรือนเข้าป่าทันที

ชะตาร้ายกำลังเดินตามหลังนายสอนมาทุกย่างก้าว สถานที่เคยมีผักมีหน่อไม้มีฟืนก็ไม่มีเลย คิดว่าพรุ่งนี้จะต้องตัดไม้เผาถ่าน เมื่อเดินกลับเห็นกวางตายอยู่ตัวหนึ่ง เพิ่งตายใหม่ ๆ ยังไม่เน่าแกคิดด้วยเชาว์ไวว่า กำลังตกอยู่ในระหว่างอันตรายแล้ว เพราะกวางนี้ถูกเสือกัดตาย กินเนื้อยังไม่หมด มันต้องพักอยู่ในบริเวณใกล้ ๆ เจ้ากวางตัวนี้แน่ แต่อยากจะได้เนื้อเอาไปฝากแม่สักก้อนหนึ่ง เมื่อคิดดังนั้นแล้ว ก็ตัดความกลัวออกไป ตรงเข้าไปเอามีดเฉือนเนื้อโคนขาไปสองก้อน เอาใบบอนห่อแล้วเอาผ้าขาวม้าห่ออีกชั้น แล้วเอาคาดสะเอว รีบฉวยหาบขึ้นบ่าเดินเลาะไปตามริมหนองเพื่อเก็บสายบัว

ทันใดนั้นนายสอนต้องสะดุ้งสุดตัว เพราะเจอเข้ากับเสือใหญ่อย่างจัง เมื่อมันเห็นนายสอนยืนอยู่ใกล้หนองน้ำนายสอนเห็นดังนั้น ก็ชักมีดเหน็บปลายแหลมออกเตรียมป้องกันตัว จะหนีก็ไม่พ้น จำใจต้องสู้แม้จะตายก็ไม่เสียดายชีวิต เป็นห่วงแต่แม่คนเดียวเท่านั้นเจ้าเสือเห็นได้จังหวะก็เผ่นเข้ากัดทันที นายสอนก็เอี้ยวตัวเอามีดแทงถูกที่ต้นคอ เจ้าเสือยิ่งโกรธจัดเพราะถูกแทงจนเลือดสาด มันเผ่นเข้าใส่อย่างบ้าเลือด นายสอนหลบไม่ทัน จึงจ้วงแทงไปตรงหน้าเสือ ถูกที่แสกหน้าอย่างจัง เจ้าเสือถูกแทงถึงสองแผลแล้ว มันก็แผดเสียงลั่นด้วยโทสะของมัน แล้วก็เผ่นเข้าใส่นายสอนอย่างรวดเร็ว ไหนจะทานกำลังของมันได้ จึงเสียทีถูกมันฟัดอย่างเต็มที่ แล้วก็ฟัดเหวี่ยงเต็มที่ จนแขนขาดติดอยู่ที่ปากของมัน

นายสอนเห็นเช่นนั้นก็ลุกวิ่งโดดลงไปในหนอง แล้วดำน้ำหนีไปอยู่กลางหนอง เจ้าเสือก็ออกวิ่งตามไป เมื่อมันเห็นว่าจะทำอะไรนายสอนไม่ได้ มันก็กลับเอาแขนของนายสอนกินจนเกลี้ยง แล้วก็บ่ายหน้าเดินตรงไปที่ซากกวางของมันอีกครั้งเมื่อนายสอนเห็นเสือไปนานแล้ว แน่ใจว่ามันคงไม่กลับมาอีก จึงขึ้นจากหนองน้ำหาทางลัดรีบกลับบ้าน ประมาณสองยามก็ถึงบ้านแต่อาการหนักมาก นายสอนนอนสลบอยู่แถว ๆ รั้วบ้านของตนเองยายแผ้วเป็นน้องของยายผ่อง เป็นห่วงพี่สาวของตน เพราะยายผ่องร้องไห้ไม่หยุดเป็นลมหลายครั้งเพราะเป็นห่วงลูก

วันรุ่งขึ้นเช้ามืด ยายแผ้วเตรียมต้มข้าวต้ม เสร็จแล้วก็ออกจากบ้านเอาไปให้พี่สาวของตนกิน เมื่อจวนจะถึงประตูรั้ว เห็นคนนอนตะแคง มีเลือดเกรอะกรังไปทั้งตัว ก้มลงมองดูหน้า จำได้ว่าเป็นนายสอนหลานของแก จึงรีบเข้ารั้วขึ้นเรือน ตะโกนบอกยายผ่องว่า สอนกลับมาแล้วแต่นอนสลบอยู่นอนรั้ว

ยายผ่องได้ยินว่าลูกกลับมาแล้ว แกก็ลุกจากที่นอนรีบเดินไปหาลูกทันที ยายแผ้วก็เรียกชาวบ้านให้ช่วยกันหามนายสอนขึ้นบนเรือน แล้วให้หลานชายไปตามหมอคล้ายมาบำบัดปัดรังควานโดยเร็ว ประมาณครึ่งชั่วโมงนายสอนก็ฟื้นเบื้องต้นนายสอนก็แก้ผ้าขาวม้าออกจากสะเอว แล้วส่งให้ยายผ่อง บอกให้แม่เอาเนื้อกวางไป แม่เฒ่าถามว่าได้เนื้อมาจากไหน นายสอนก็เล่าเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับตนจนละเอียด อีกสองชั่วโมงต่อมานายสอนก็ถึงแก่ความตายยายผ่องเป็นหญิงชราอนาถาไร้ที่พึ่ง แกก็ต้องดิ้นรนหาทางช่วยชีวิต ตามแบบและสติปัญญาของแก คุณยายได้ไปที่ว่าการอำเภอ ขอร้องให้นายอำเภอจับเสือมาลงโทษให้ได้ นายอำเภอแสงผู้พิทักษ์มวลชนได้ยินยายผ่องขอให้จับเสือมาทำโทษแทนลูกของแก ก็นึกแปลกใจ ตั้งแต่เป็นนายอำเภอมาหลายปี ยังไม่เจอกับคดีเช่นนี้ เมื่อนายอำเภอเห็นว่า แกพูดถูกและสงสารแกมาก จึงรับปากว่าจะจับเสือมาทำโทษให้ตามความประสงค์ แล้วให้คนไปตามปลัดโต ซึ่งมีความรู้ความสามารถและปฏิบัติหน้าที่ดีที่สุดมาหาทันที เมื่อปลัดโตไปหานายอำเภอก็แจ้งเรื่องให้ทราบ ปลัดโตก็รับปากทันที

เชื่อมั่น

หากเราเชื่อมั่นมุ่งตรง...ปฏิบัติตามคำสอนขององค์ศาสดา
ละทิ้งวิจิกิจฉาที่มาคอยทำให้สั่นคลอน
ไม่ว่าเราจะทำสิ่งใดอยู่...

จงเชื่อมั่นได้เลยว่ามันจะสำเร็จในวันใดวันหนึ่งแน่นอน

วันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2553

อดีต..อนาคต..ปัจจุบัน

อดีต...เป็นเรื่องที่ผ่านมาแล้ว เป็นการกระทำที่ผ่านพ้นไปแล้ว
หากเป็นเรื่องดี...เวลาที่คิดถึงใจมันก็ฟูๆ
หากเป็นเรื่องไม่ดี...เวลาที่คิดถึงใจมันก็ฝ่อๆ
แล้ว...จะคิดถึงให้ใจฟู..ให้ใจฝ่อ..ไปเพื่ออะไร

อนาคต...เป็นเรื่องที่ยังมาไม่ถึง แต่ก็พอประเมินได้จากการกระทำในปัจจุบัน
หากอยากมีอนาคตที่ดีๆ...ควรเริ่มต้นสร้างเหตุปัจจุบันให้ดี
หากเพียงหวังอยากให้อนาคตดีโดยไม่ต้องลงแรงกระทำสิ่งที่ดี
แล้ว...อนาคตมันจะดีได้อย่างไร

ปัจจุบัน...คือสิ่งที่กำลังคิด กำลังทำ
ปัจจุบันคืออนาคตของอดีต...
หากปัจจุบันของตัวเองยังไม่ดี...ก็รู้ได้ไม่ยากว่าอดีตนั้นตัวทำไว้ไม่ดีเท่าไหร่
อาจจะอยากให้มันดี...แต่ไม่ได้ลงแรงทำดีให้เท่าที่อยาก

เพราะฉะนั้น...ไม่ต้องคิดแล้วถึงอดีตที่ล่วงไป...กับอนาคตที่ไม่เคยมาถึง
ลงแรง..ลงใจ..ทำปัจจุบันขณะนี้ให้ดีทั้งกาย วาจา และใจ
รู้อยู่ตรงปัจจุบันขณะ..ตั้งสติระลึกไว้ตรงนี้...ตรงนี้เท่านั้น..ทำอะไรอยู่ก็รู้...
จักหวังผลได้ว่าเราจะมีอนาคตที่ดีแน่นอน

วันพฤหัสบดีที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ฟังหลวงปู่เณรคำเทศนาสั่งสอน (2)

8/15




9/15




10/15




11/15




12/15




13/15




14/15




15/15


ฟังหลวงปู่เณรคำเทศนาสั่งสอน (1)




ฟังหลวงปู่เณรคำเทศนาสั่งสอน...


2/15




3/15




4/15




5/15




6/15




7/15


แก้ไขการทำแท้ง

หลีกเลี่ยงภาษี

แรงกตัญญู

วันอังคารที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ฝึกเจริญสติ

เราฟังธรรมออนไลน์เรื่องการดูจิตของหลวงพ่อปราโมทย์ ปราโมชโช
ฟังแล้วก็ลองมาฝึก...ช่วงแรกๆ เหมือนจะง่ายแต่ก็ไม่ง่าย เพราะก็หลงกันทั้งวัน
อ่านหนังสือของคุณดังตฤณ...ซึ่งเป็นการเจริญสติ และแนวทางปฏิบัติ
และฟังเทศน์จากเว็บฟังธรรมออนไลน์ของหลวงพ่อพุธ...
แล้วก็เอามาผสมผสานประยุกต์เข้าด้วยกัน...
เพราะเป็นแนวทางที่สามารถไปด้วยกันได้...สำหรับเราคิดว่างั้นนะ

ฝึกอย่างไร...เราใช้วิธีรู้เวลาเราหายใจเข้าออก...เท่าที่จะรู้ได้
รู้ความรู้สึก...เท่าที่จะรู้สึกได้

บางวันเผลอไปทั้งวันก็มี...มานึกขึ้นได้อีกที..ก็หมดวันซะละ

สรุปได้ว่า...หากจะเจริญวิปัสนาไปอย่างเดียวเลย...ทำไม่ได้
เจริญสมถกรรมฐานอย่างเดียวเลย...ก็ทำไม่ได้อีก
เพราะเราต้องมีจิตใจที่ตั้งมั่น และมีสติพร้อมกันไปด้วย

ช่วงนี้สติไวขึ้นมาหน่อย...
เวลาโกรธรู้ว่าโกรธแต่บางทีมีพลั้งหลุดไปก่อนแล้วถึงจะรู้ทัน
(นี่เรียกว่าสติไวขึ้นมาแล้วนะคะ..ถ้าไม่ไวจะยังไงเนี่ย)
แต่เราจะหายโกรธได้ทันทีที่รู้ตัว...ไง

ยังต้องฝึกกันต่อไป

ตั้งใจ..เพื่อสัจจะ

พออายุมากขึ้นๆ การนั่งสมาธิมันชักลำบากนะคะ (ตอนนี้ก็ปาเข้าไป 35 ละ)
เคยตั้งใจจะนั่งสักครึ่งชั่วโมงยังไม่ได้เลย...
บางทีลืมตาขึ้นมาดูเวลาเหลืออีกแค่นาทีก็ทนไม่ไหว

รู้สึกว่าเราชักเหยาะแหยะเหลวไหลไม่ได้ความ
เมื่อวานเลยลองตั้งใจนั่งให้ได้ 2 ชั่วโมง
สวดมนต์และตั้งสัจจะว่าถ้ายังไม่ถึง 2 ชั่วโมงจะไม่ลุกเด็ดขาด
ไม่ได้คิดถึงว่าจะได้สมาธิหรือไม่อย่างไร
แค่รักษาสัจจะนี้ให้เป็นเบื้องแรก...
ก่อนที่จะไม่มีสัจจะใดเลยที่ตัวเองสามารถรักษาไว้ได้

อืมม...ชั่วโมงแรกผ่านได้ด้วยดีค่ะ
พอสักพักความปวดเมื่อยเริ่มเข้ามาเบียดเบียนสังขารนี้
ต้องสู้กันระหว่างจิตใจ กับความปวดเมื่อย
พระเก่งๆ หลายท่านบอกว่ากายนี้ไม่เที่ยง..ไม่ใช่เรา
มาลองดูกันว่ามันไม่ใช่เราจริงรึเปล่า
เราก็เอาจิตเข้าจับตรงที่ปวด..
แรกๆ ก็เห็นว่ามันคนละส่วน...จิตส่วนหนึ่ง กายส่วนหนึ่ง
แต่ความปวดกับกายยังอยู่ด้วยกัน..ยังแยกไม่ได้
ดูเข้าไปตรงความปวดกับสังขารตัวเอง..ก็ยังแยกไม่ได้
ความเขลาเบาปัญญาของเราหนอ
นานเข้าๆ พระท่านบอกว่าเดี๋ยวมันก็หายไป
ไม่เห็นมันจะหายไปจากเรา...ขาก็ยังปวดอยู่นั่นเอง
เฮ้อ...! ถอนหายใจให้กับความโง่ของตัวอีกครั้ง

สักพักเสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้น...อิอิ
เหมือนสวรรค์มาโปรด...
เรานั่งได้ครบ 2 ชั่วโมงตามสัจจะที่ตั้งไว้
ครั้งนี้ทำได้...เดี๋ยวก็ทำได้ดีขึ้นเองแหละ
ให้กำลังใจตัวเองไว้